คอมพิวเตอร์กับการแก้ปัญหา
การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำตามโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาทุกประการ ดังนั้นการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาช่วยสำหรับการแก้ปัญหา จึงต้องมีโปรแกรมสำหรับการแก้ปัญหานั้น เพื่อสั่งการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามต้องการ ผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรมจึงต้องทราบถึงวิธีการของการแก้ปัญหาที่ต้องการแก้ไขทุกขั้นตอน จากนั้นจึงทำการเรียบเรียงลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย แล้วนำขั้นตอนวิธีที่ได้เรียบเรียงขึ้นมาเขียนเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่อไป
การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้มีการเตรียมการไว้ก่อน โดยทำการเขียนโปรแกรมตามความคิดในขณะนั้น ไม่ได้มีการวางแผนหรือการจดบันทึกขั้นตอนวิธีการทำงานของโปรแกรมที่เขียนขึ้นสำหรับเป็นเอกสารอ้างอิง เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้เสียเวลาในการเขียนโปรแกรมเพิ่มมากขึ้น
หากต้องการปรับปรุงพัฒนาการทำงานของโปรแกรมในภายหลัง จะมีความยุ่งยาก ต้องใช้เวลาสำหรับการทำความเข้าใจกับขั้นตอนวิธีการทำงานของโปรแกรม ถ้าโปรแกรมไม่มีความซับซ้อนมากนัก เวลาที่ใช้สำหรับการศึกษาถึงวิธีขั้นตอนวิธีการในการแก้ปัญหาจะใช้เวลาไม่มาก แต่ถ้าโปรแกรมนั้นมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น การศึกษาถึงขั้นตอนวิธีการในการทำงาน จะยิ่งใช้เวลาเพิ่มมากขึ้น การเขียนเอกสารประกอบการทำงานของโปรแกรม ทำให้การปรับปรุงพัฒนาการทำงานของโปรแกรมในภายหลัง สามารถทำได้สะดวกยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหา
การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้สำหรับช่วยในการแก้ปัญหา ขั้นตอนของการวิเคราะห์ปัญหาสำหรับเตรียมการก่อนลงมือเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีขั้นตอนดังนี้
1. การทำความเข้าใจกับปัญหา
2. การพิจารณาลักษณะของข้อมูลเข้าและข้อมูลออก
3. การทดลองแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
4. การเขียนขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
5. การทดสอบขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
1. การทำความเข้าใจกับปัญหา
ขั้นตอนแรกสำหรับการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการแก้ปัญหา คือ การทำความเข้าใจกับปัญหาหรือการวิเคราะห์ปัญหา ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรม ทำความเข้าใจกับปัญหา วิเคราะห์ปัญหาที่ต้องการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาข่วยในการแก้ปัญหาว่า ปัญหาที่ต้องการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการแก้ปัญหาคือ ปัญหาลักษณะใด ถ้าผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรมไม่สามารถทำความเข้าใจกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข การนำคอมพิวเตอร์มาใช้สำหรับช่วยในการแก้ปัญหา ก็ไม่สามารถทำได้
2. การพิจารณาลักษณะของข้อมูลเข้าและข้อมูลออก
หลังจากทำความเข้าใจกับปัญหาที่ต้องการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการแก้ไข ขั้นตอนต่อไปคือ การพิจารณาลักษณะของข้อมูลเข้า ที่ต้องส่งให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้สำหรับการทำงาน และข้อมูลออกที่ต้องการให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส่งกลับ หลังจากที่ทำการแก้ไขปัญหาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลักษณะของข้อมูลเข้าและข้อมูลออก เช่น ข้อมูลชื่อของนักศึกษา และรหัสประจำตัวของนักศึกษา รวมไปถึงชนิดของข้อมูลเข้าและข้อมูลออก ตัวอย่างของชนิดข้อมูล เช่น ข้อมูลเป็นตัวอักษร หรือข้อมูลที่เป็นตัวเลข ในกรณีที่เป็นข้อมูลตัวเลข ต้องพิจารณาอีกว่า เป็นตัวเลขที่เป็นจำนวนเต็ม หรือ เป็นตัวเลขที่มีจุดทศนิยม
3. การทดลองแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
การนำคอมพิวเตอร์มาช่วยสำหรับการแก้ไขปัญหา สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรมต้องทราบถึงขั้นตอนวิธีสำหรับการแก้ไขปัญหา หลังจากการพิจารณาลักษณะของข้อมูลเข้าและข้อมูลออก ขั้นตอนต่อไปคือ ขั้นตอนของการหาวิธีสำหรับการแก้ปัญหา
ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรม ทำการทดลองหาวิธีการสำหรับแก้ไขปัญหา การหาวิธีการแก้ปัญหาอาจทำการทดลองหาวิธีการแก้ปัญหาหลายวิธี จากนั้นทำการเลือกเอาวิธีการที่เหมาะสม มาทำการเรียบเรียงลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานเพื่อนำไปใช้สำหรับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่อไป
การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์จะทำตามโปรแกรมที่มนุษย์เขียนขึ้นทุกประการ เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถคิดค้นวิธีการใหม่สำหรับการแก้ปัญหาขึ้นมาเองได้ ถ้าผู้ที่เขียนโปรแกรมไม่เข้าใจถึงขั้นตอนวิธีสำหรับการแก้ไขปัญหา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นมาย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง
4. การเขียนขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
ขั้นตอนของการพัฒนาลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา เป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะเป็นขั้นตอนที่จะนำไปใช้สำหรับพัฒนาให้เป็นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ต่อไป ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่นำเอาวิธีการสำหรับการแก้ปัญหาที่ได้ทำการเลือกจากขั้นตอนของการทดลองการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง มาทำการเรียบเรียงเป็นลำดับขั้นตอนวิธีการทำงาน โดยเขียนขั้นตอนวิธีการทำงานเป็นข้อตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
ขั้นตอนวิธี (Algorithm) คือ การเขียนอธิบายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานของการแก้ปัญหาในลักษณะของข้อความตั้งแต่ขั้นตอนแรก จนถึงขั้นตอนสุดท้าย การพัฒนาลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
มีวิธีการดังนี้
1. เขียนลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานทั้งหมดอย่างย่อ
เป็นการเขียนการทำงานแต่ละขั้นตอนอย่างย่อ ไม่ละเอียดมากนัก ตั้งแต่ขั้นตอนแรก จนถึงขั้นตอนสุดท้ายของการทำงาน เพื่อดูภาพรวมของการทำงานของขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมด
2. เขียนลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานอย่างละเอียด
เป็นการเขียนรายละเอียดของการทำงานของแต่ละขั้นตอนที่ได้จากข้อ 1 เพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนให้เป็นรหัสเทียม และโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์
3. เขียนลำดับขั้นตอนวิธีการทำงานแต่ละข้อให้อยู่ในรูปของรหัสเทียม
รหัสเทียม (Pseudo Code) คือ ภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่นิยมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรมต้องการนำขั้นตอนวิธีการทำงานที่ได้เรียบเรียงขึ้นมาทำการเขียนเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถทำได้โดยการเปลี่ยนจากรหัสเทียมให้เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ตามที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรมต้องการใช้ภาปาสคาล สำหรับการเขียนโปรแกรมสามารถทำได้โดยเปลี่ยนจากรหัสเทียมให้เป็นภาษาปาสคาล
5. การทดสอบลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
หลังจากการพัฒนาส่วนของลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา ขั้นตอนสุดท้ายคือ ขั้นตอนสำหรับการทดสอบส่วนของลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาที่ได้เขียนขึ้น การทดสอบลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาทำได้โดยสมมติข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลเข้าสำหรับการแก้ปัญหา แล้วสมมติให้ผู้เขียนโปรแกรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานตามขั้นตอนวิธี หรือรหัสเทียมที่ได้ทำการเขียนขึ้นแล้วทำการพิจารณาการทำงานของลำดับขั้นตอนวิธีที่ได้เขียนขึ้นว่า สามารถทำงานได้ถูกต้องหรือไม่
หากขั้นตอนวิธีที่ทำการเขียนขึ้นมีการทำงานที่ผิดพลาด ต้องกลับไปแก้ไขส่วนของขั้นตอนการพัฒนาลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาให้ถูกต้อง จากนั้นทำการทดสอบด้วยข้อมูลที่ทำให้ผลการทำงานผิดพลาดอีกครั้ง จนกว่าการทำงานของขั้นตอนวิธีสามารถทำได้อย่างถูกต้อง สำหรับการทดสอบขั้นตอนวิธีการทำงานควรทำการทดสอบด้วยข้อมูลหลายชุดข้อมูล เพื่อให้สามารถทำการทดสอบที่ครอบคลุมการทำงานทั้งหมดของขั้นตอนวิธี และเป็นการยืนยันว่า ขั้นตอนวิธีทำงานที่ทำการเขียนขึ้นนั้น มีความถูกต้อง ไม่ได้หมายถึงว่า ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาที่เขียนขึ้น มีความถูกต้องสมบูรณ์
ตัวอย่างการหาแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์
จงเขียนแนวทางการแก้ปัญหาสำหรับการหาพื้นที่ห้องเรียน รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยรับข้อมูลความกว้าง และความยาวของห้อง จากนั้นแสดงค่าของพื้นที่ห้องที่คำนวณได้
ขั้นตอนที่ 1 ทำความเข้าใจกับปัญหา
ปัญหาที่ต้องการแก้ไข คือ การคำนวณหาพื้นที่ของห้องเรียนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ขั้นตอนที่ 2 พิจารณาลักษณะข้อมูลเข้าและข้อมูลออก
ข้อมูลเข้า คือ ความกว้างของห้อง และ ความยาวของห้อง ชนิดของข้อมูลทั้งความกว้างและความยาว เป็นข้อมูลชนิดตัวเลข สามารถเป็นได้ทั้งตัวเลขจำนวนเต็มและตัวเลขทศนิยม ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ที่ทำการเขียนโปรแกรม
ข้อมูลออก คือ ค่าของพื้นที่ห้อง ชนิดของข้อมูลเป็นตัวเลข สามารถเป็นได้ทั้งตัวเลขจำนวนเต็มและตัวเลขทศนิยม ขึ้นอยู่กับวิธีการหาคำตอบ
ขั้นตอนที่ 3 ทดลองแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
การคำนวณหาพื้นที่ห้องสี่เหลี่ยม หาได้จากสูตร
พื้นที่ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า = กว้าง x ยาว
ถ้าให้ความกว้างของห้อง = 8 เมตร
ถ้าให้ความยาวของห้อง = 6 เมตร
พื้นที่ห้อง = 8 x 6
= 48 ตารางเมตร
ขั้นตอนที่ 4 การพัฒนาลำดับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
ในที่นี้จะเขียนอธิบายขั้นตอนวิธีการทำงานอย่างย่อ ดังนี้
1. เริ่มต้น
2. รับค่าความกว้างและความยาวของห้อง
3. คำนวณค่าพื้นที่ห้อง = กว้าง x ยาว
4. แสดงค่าของพื้นที่ห้อง
5. จบการทำงาน
รหัสเทียม
Begin
Read Wide , Long
Area Wide * Long
Write Area
End.
ขั้นตอนที่ 5 การทดสอบขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
1. Begin
เป็นส่วนของการบอกการเริ่มต้นของขั้นตอน
2. Read Wide , Long
ขั้นตอนนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์จะรอรับข้อมูล 2 ค่าคือ ค่าความกว้างและค่าความยาวของห้อง สมมติให้ความกว้าง = 10 และความยาว = 12
3. Area Wide * Long
ค่าพื้นที่ = กว้าง x ยาว
= 10 x 12
= 120 ตารางหน่วย
4. Write Area
แสดงค่าของพื้นที่ห้องรูปสี่เหลี่ยมที่คำนวณได้คือ 120 ตารางหน่วย
5. End.
เป็นตัวบอกการสิ้นสุดการทำงานของขั้นตอนทั้งหมด
ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)
ระบบ (System) คือกลุ่มขององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กันและทำงานร่วมกัน ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์จะมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
1. หน่วยรับข้อมูล (Input unit) เป็นอุปกรณ์รับเข้า ทำหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รับเข้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ คือ แป้นพิมพ์ ( Keyboard ) และเมาส์ ( Mouse) นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์รับเข้าอื่น ๆ อีก ได้แก่ สแกนเนอร์ ( Scanner), วีดีโอคาเมรา (Video Camera), ไมโครโฟน (Microphone),ทัชสกรีน (Touch screen), แทร็คบอล (Trackball), ดิจิตเซอร์ เทเบิ้ล แอนด์ ครอสแชร์ (Digiter tablet and crosshair)
2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หรือเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า CPU ซึ่งถือว่าเป็นสมองของระบบคอมพิวเตอร์ มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ หน่วยควบคุม หน่วยคำนวณ
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นส่วนประกอบดังนี้
3. หน่วยความจำภายใน (Primary Storage Section หรือ Memory) เป็นหน่วยความจำที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้โดยตรง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- หน่วยความจำแบบแรม (Random Access Memory หรือ Ram) เป็นหน่วยความจำชั่วคราว ที่ใช้สำหรับเก็บโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ขณะนั้น มีความจุของหน่วยเก็บข้อมูลไม่เกิน 640 KB คือผู้ใช้สามารถเขียนหรือลบไปได้ตลอดเวลา ถ้าหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไฟฟ้าดับ จะมีผลทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้สูญหายไปหมด และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
- หน่วยความจำแบบรอม (Read Only Memory หรือ Rom) เป็นหน่วยความจำถาวร ที่สามารถอ่านได้อย่างเดียว ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับ ข้อมูลที่เก็บไว้จะยังคงอยู่
2. หน่วยความจำสำรอง ได้แก่ เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก แผ่นดิสก์ (Diskett) CD-ROM
แผ่นดิสก์หรือสเกต เป็นจานแม่เหล็กขนาดเล็ก ชนิดอ่อน จัดเก็บข้อมูลโดยใช้อำนาจแม่เหล็ก การใช้งานจะต้องมี Disk Drive เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการขับเคลื่อนแผ่นดิสก์ โดยแบ่งตำแหน่งพื้นผิวออกเป็น แทร็คและเซ็คเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ
หน่วยความจำต่ำสุด คือ บิต (BIT [Binary Digit]) โดยใช้บิตแทน 1 ตัวอักขระ หรือ 1 ไบต์ (Bite) หน่วยที่ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่วย คือ กิโลไบต์ (Kilobyte) โดยที่ 1 กิโลไบต์ มีค่าเท่ากับ 2 10 ไบต์ หรือ 1,024 ไบต์ หน่วยความจำที่ใหญ่ขึ้นไปอีก เรียกว่า เมกะไบต์ กิกะไบต์ และเทระไบต์
ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)
ระบบ (System) คือกลุ่มขององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กันและทำงานร่วมกัน ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์จะมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
- ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
- ซอฟต์แวร์ (Software)
- บุคลากร (Peopleware)
1. หน่วยรับข้อมูล (Input unit) เป็นอุปกรณ์รับเข้า ทำหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รับเข้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ คือ แป้นพิมพ์ ( Keyboard ) และเมาส์ ( Mouse) นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์รับเข้าอื่น ๆ อีก ได้แก่ สแกนเนอร์ ( Scanner), วีดีโอคาเมรา (Video Camera), ไมโครโฟน (Microphone),ทัชสกรีน (Touch screen), แทร็คบอล (Trackball), ดิจิตเซอร์ เทเบิ้ล แอนด์ ครอสแชร์ (Digiter tablet and crosshair)
2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หรือเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า CPU ซึ่งถือว่าเป็นสมองของระบบคอมพิวเตอร์ มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ หน่วยควบคุม หน่วยคำนวณ
- หน่วยควบคุม (Control Unit หรือ CU) ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการทำงานของหน่วยรับข้อมูล หน่วยแสดงผล หน่วยคำนวณและหน่วยตรรก หน่วยความจำและแปลคำสั่ง
- หน่วยคำนวณและตรรก (Arithmetic and Logic Unit หรือ ALU) ทำหน้าที่ในการคำนวณหาตัวเลข เช่น การบวก ลบ การเปรียบเทียบ
- หน่วยความจำ เป็นอุปกรณ์ใช้เก็บโปรแกรมและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล
- หน่วยความจำภายใน
- แผ่นดิสก์ขนาด 8 นิ้ว ปัจจุบันไม่นิยมใช้
- แผ่นดิสก์ขนาด 5.25 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามรถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 360 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.2 MB
- แผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามารถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 720 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.44 MB นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นส่วนประกอบดังนี้
3. หน่วยความจำภายใน (Primary Storage Section หรือ Memory) เป็นหน่วยความจำที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้โดยตรง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- หน่วยความจำแบบแรม (Random Access Memory หรือ Ram) เป็นหน่วยความจำชั่วคราว ที่ใช้สำหรับเก็บโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ขณะนั้น มีความจุของหน่วยเก็บข้อมูลไม่เกิน 640 KB คือผู้ใช้สามารถเขียนหรือลบไปได้ตลอดเวลา ถ้าหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไฟฟ้าดับ จะมีผลทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้สูญหายไปหมด และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
- หน่วยความจำแบบรอม (Read Only Memory หรือ Rom) เป็นหน่วยความจำถาวร ที่สามารถอ่านได้อย่างเดียว ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับ ข้อมูลที่เก็บไว้จะยังคงอยู่
2. หน่วยความจำสำรอง ได้แก่ เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก แผ่นดิสก์ (Diskett) CD-ROM
แผ่นดิสก์หรือสเกต เป็นจานแม่เหล็กขนาดเล็ก ชนิดอ่อน จัดเก็บข้อมูลโดยใช้อำนาจแม่เหล็ก การใช้งานจะต้องมี Disk Drive เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการขับเคลื่อนแผ่นดิสก์ โดยแบ่งตำแหน่งพื้นผิวออกเป็น แทร็คและเซ็คเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ
- แผ่นดิสก์ขนาด 8 นิ้ว ปัจจุบันไม่นิยมใช้
- แผ่นดิสก์ขนาด 5.25 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามรถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 360 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.2 MB
- แผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามารถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 720 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.44 MB นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
หน่วยความจำต่ำสุด คือ บิต (BIT [Binary Digit]) โดยใช้บิตแทน 1 ตัวอักขระ หรือ 1 ไบต์ (Bite) หน่วยที่ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่วย คือ กิโลไบต์ (Kilobyte) โดยที่ 1 กิโลไบต์ มีค่าเท่ากับ 2 10 ไบต์ หรือ 1,024 ไบต์ หน่วยความจำที่ใหญ่ขึ้นไปอีก เรียกว่า เมกะไบต์ กิกะไบต์ และเทระไบต์
ฮาร์ดดิสก์ ( Hard Disk ) เป็นจานแม่เหล็กชนิดแข็ง ชนิดติดแน่นไม่มีการเคลื่อนที่ สามารถบรรจุข้อมูลได้จำนวนมาก เป็น 2 ขนาด คือ
1. ขนาด 5.25 นิ้ว (ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว)
2. ขนาด 3.5 นิ้ว ทั้ง 2 ขนาดจะมีความจุ ตั้งแต่ 10,20,40,80,120,300,400 MB1 GB,2 GB ฯลฯ ปัจจุบันนิยมใช้ตั้งแต่ 10 GB ขึ้นไป
Data Rate หมายถึง ความเร็วในการอ่านข้อมูลจากดิสก์ไปสู่สมองของเครื่องคอมพิวเตอร์ (หรือมีความเร็วในการนำข้อมูลมาจากสมองเครื่องไปบันทึกลงบนดิสก์) มีหน่วยวัดเป็น จำนวนไบต์ต่อวินาที ( Bytes Per Second หรือ bps )
บุคลากร (Peopleware) หมายถึง บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ในการใช้และดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น นักเขียนโปรแกรม (Programmer) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) เป็นต้น
1. ขนาด 5.25 นิ้ว (ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว)
2. ขนาด 3.5 นิ้ว ทั้ง 2 ขนาดจะมีความจุ ตั้งแต่ 10,20,40,80,120,300,400 MB1 GB,2 GB ฯลฯ ปัจจุบันนิยมใช้ตั้งแต่ 10 GB ขึ้นไป
- เป็นสื่อที่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก โดยจะมีความจุสูงถึง 2 GB (2 พันล้านไบต์)
- มีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก
- ใช้เทคโนโลยีของแสงเลเซอร์ในการอ่านเขียนข้อมูล
- เป็นจานแสงชนิดอ่านได้อย่างเดียว ( Read Only Memory ) ไม่สามารถเขียนหรือลบข้อมูลได้
- 3. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือใช้เก็บผลลัพธ์เพื่อนำไปใช้ภายหลัง ได้แก่ จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์ส่งออกมากที่สุด เครื่องพิมพ์ (Printer)
- ซอฟแวร์ควบคุมระบบ (System Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการจัดการทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมควบคุมเครื่อง ระบบปฏิบัติการ เช่น DOS, Windows, Os/2, Unix
- ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ ได้แก่ โปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ
Data Rate หมายถึง ความเร็วในการอ่านข้อมูลจากดิสก์ไปสู่สมองของเครื่องคอมพิวเตอร์ (หรือมีความเร็วในการนำข้อมูลมาจากสมองเครื่องไปบันทึกลงบนดิสก์) มีหน่วยวัดเป็น จำนวนไบต์ต่อวินาที ( Bytes Per Second หรือ bps )
ซอฟแวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมชุดคำสั่งที่เขียนให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปฏิบัติตาม ซึ่ง มี 2ประเภท คือซีดีรอม (CD-Rom ) เป็นจานแสงชนิดหนึ่ง ใช้เก็บข้อมูลที่มีความเร็วในการใช้งานสูง มี คุณสมบัติดังนี้
บุคลากร (Peopleware) หมายถึง บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ในการใช้และดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น นักเขียนโปรแกรม (Programmer) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) เป็นต้น